วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


            พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสวยราชสมบัติเมื่อวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม ปีจอ พุทธศักราช 2453 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 รวมพระชนมพรรษา 45 พรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติรวม 15 ปี

            พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า "สมเด็จพระมหาธีราชเจ้า" พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ใน พระราชวงศ์จักรีพระองค์แรกที่ไม่มีวัดประจำรัชกาล แต่ได้ทรงมีการการสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน ขึ้นแทน ด้วยทรงพระราชดำริว่าพระอารามนั้นมีมากแล้ว และการสร้างอารามในสมัยก่อนนั้นก็เพื่อบำรุงการศึกษาของเยาวชนของชาติ จึงทรงพระราชดำริให้สร้างโรงเรียนขึ้นแทน



              พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งแรกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างแล้วเสร็จเมื่อพ.ศ. 2485 ประดิษฐาน ณ สวนลุมพินี ซึ่งเป็นบริเวณที่ดินส่วนพระองค์ ที่พระราชทานไว้เป็นสมบัติของประชาชน เพื่อจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์แสดงสินค้าไทยแก่ชาวโลกเป็นครั้งแรก เพื่อบำรุงเศรษฐกิจและพาณิชยกรรมของประเทศ (แต่มิทันได้จัดก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน) และทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าเมื่อเสร็จงานแล้ว จะพระราชทานเป็นสวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจแห่งแรกในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ในวันคล้ายวันสวรรคตของทุกปี วันที่ 25 พฤศจิกายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือผู้แทนพระองค์ จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลา ถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ ณ สวนลุมพินีแห่งนี้ ในวันนั้นมีหน่วยราชการ หน่วยงานเอกชน นิสิตนักศึกษา พ่อค้าประชาชนจำนวนมากไปวางพวงมาลาถวายราชสักการะ และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย ณ วชิราวุธวิทยาลัย

                 ใน พ.ศ. 2524 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม ในฐานะที่ทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละครไว้เป็นจำนวนมาก

           

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

รัชกาลที่ 5รัชกาลที่ 5
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นามเต็มคือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พงศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระองค์มีพระขนิษฐาและพระอนุชารวม 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
การศึกษา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นในสำนักพระเจ้าอัยยิกาเธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา ทรงศึกษาภาษาเขมรจากหลวงราชาภิรมย์ อีกทั้งทรงรับการยิงปืนไฟจากพระยาอภัยเพลิงศรอีกด้วย
พระราชลัญจกร
พระราชลัญจกร รัชกาลที่ 5
พระราชลัญจรกรประจำพระองค์
พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว เป็นตรางา ลักษณะกลมรี กว้าง 5.5 ซ.ม. ยาว 6.8 ซ.ม. โดยมีตรา พระเกี้ยว หรือ พระจุลมงกุฏ ซึ่งประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า 2 ชั้น มีฉัตรบริวารตั้งขนาบทั้ง 2 ข้าง ถัดออกไปจะมีพานแว่นฟ้า 2 ชั้น ทางด้านซ้ายวางสมุดตำรา และทางด้านขวาวางพระแว่นสุริยกานต์เพชร โดยพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นการเจริญรอยจำลองมาจากพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
การประกาศเลิกทาส
   การประกาศเลิกทาส
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มีการ เลิกทาส การป้องกันการเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และจักรวรรดิอังกฤษ นอกจากนี้ังนำระบบความเจริญก้าวหน้าของชาติตะวันตกมาใช้พัฒนาในประเทศไทย เช่น ระบบการใช้ธนบัตรและ เหรียญบาท สร้างระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น จังหวัด อำเภอ และได้มีการสร้างรถไฟ สายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง เมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ มีนาคม ร.ศ. 109 (พ.ศ. 2433) เป็นต้น
พระโกศทองใหญ่
พระโกศทองใหญ่
สวรรคต
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะ (ไต) เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เวลา 2.45 นาฬิกา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต รวมพระชนมพรรษาได้ 57 พรรษา ทั้งนี้ รัฐบาลได้จัดให้วันที่ 23 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันปิยมหาราช และเป็นวันหยุดราชการ

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

http://iseehistory.socita.com/images/column_1237629149/RAMA%20lll.jpg
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อส่งเสริมความเจริญทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทรงจัดระบบการเรียกเก็บภาษีแบบใหม่ ทรงปราบปรามฝิ่นอย่างเด็ดขาด โปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศห้ามสูบ กิน ซื้อ ขายฝิ่น เมื่อ พ..2382 มีบทลงโทษผู้กระทำผิดขั้นประหารชีวิต         
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามหลายแห่ง ทรงส่งเสริมการจัดระเบียบการปกครองสงฆ์อย่างเคร่งครัด และทรงส่งเสริมให้มีการศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างงแพร่หลาย โปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมสืบต่อจากรัชกาลก่อน มีการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศตะวันตกทั้งในด้านการเมืองและการค้า ทรงพระปรีชาสามารถด้านการค้าเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถและสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาตินานัปการ และทรงเป็นผู้มองการไกล ทรงเข้าใจสถานการณ์การเมืองของโลกในขณะนั้น โดยทรงเล็งเห็นว่ามหาอำนาจตะวันตกกลังขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย และต่อไปไทยจะต้องเผชิญกับการขยายอำนาจนี้ จึงทรงเตือนให้ระมัดระวังและศึกษาหาความรู้จากตะวันตกในสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง


พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

http://www.myfirstbrain.com/thaidata/image.asp?ID=2601789
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมุ่งมั่นสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงให้อาณาจักรมีการทำสงครามกับพม่าที่ยกทัพเข้ามารุกรานหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก พระองค์ทรงแก้ปัญหาฝิ่นอย่างจริงจัง โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายห้ามไม่ให้ซื้อขายสูบฝิ่น เมื่อ พ..2354 กำหนดบทลงโทษผู้สูบฝิ่นไว้อย่างเคร่งครัด และโปรดเกล้าฯ ให้ออกราชบัญญัติห้ามสูบฝิ่น อีกครั้งเมื่อ พ..2362 เป็นการประกาศห้ามสูบฝิ่นทั่วราชอาณาจักร

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงออกพระราชกำหนดสักเลก เพื่อเกณฑ์ไพร่เพื่อเข้ารับราชการเตรียมพร้อมรับศึกสงคราม ซึ่งทำให้การเกณฑ์แรงงานไพร่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังลดไพร่เข้ารับราชการเหลือปีละ 3 เดือน ทำให้ราษฎรมีโอกาสประกอบอาชีพทำมาหากินสร้างความมั่งคั่งให้ครอบครัวและบ้านเมืองมากขึ้น พระองค์ทรงส่งเสริมให้พระสงฆ์ศึกษาพระปริยัติธรรมมากขึ้น ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามให้งดงามสมกับเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา เช่นการบูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชวราราม ซึ่งถือเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์ ทรงฟื้นฟูศิลปกรรมทุกแขนง รวมทั้งด้านนาฏกรรม โดยพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทละครขึ้นไว้หลายเรื่อง ทรงส่งเสริมความสัมพันธ์กับต่างประเทศเพื่อความมั่นคงทางการเมืองและความมั่งคั่งทางการค้า

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

http://student.nu.ac.th/katai_cs.nu/kingMaharaj/images/king_yodpha.jpg
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงประกอบพระราชกรณียกิจมากมาย เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงให้ชาติไทย เริ่มจากทรงเลือกที่ตั้งของพระนครใหม่โดยคำนึงถึงยุทธศาสตร์ในการป้องกันข้าศึกศัตรูเป็นสำคัญ อีกทั้งมีความเหมาะสมทางด้นเศรษฐกิจเนื่องจากเป็นพื้นที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกและสะดวกต่อการเข้ามาติดต่อค้าขาย พระองค์ทรงสร้างพระนครให้ยิ่งใหญ่สวยงามเทียบเท่ากรุงศรีอยุธยา และทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมให้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งบ้านเมืองดีในสมัยอยุธยา เป็นการสร้างขวัญให้แก่ราษฎรเกือบตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงทำสงครามกับพม่า เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับบ้านเมืองทำให้ไทยรอดพ้นจากภัยคุกคามของอริศัตรูคงความเป็นไทยมาได้จนถึงปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงจัดระเบียบการปกครองสงฆ์ ออกกฎเพื่อให้พระสงฆ์ประพฤติอยู่ในพระธรรมวินัย และสังคายนาพระไตรปิฎกเพื่อให้ถูกต้องสมบูรณ์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า รวมทั้งทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆให้เป็นมรดกของชาติตกทอดจนมาถึงปัจจุบัน
                พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายใหม่เรียกว่า กฎหมายตราสามดวง เพื่อใช้เป็นหลักในการตัดสินคดีความต่างๆ ให้เกิดความยุติธรรม นอกจากนี้พระองค์ยังทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี และทรงพระรชนิพนธ์วรรณคดีไว้หลายเรื่อง

บทบาทของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีในการสร้างสรรค์ความเจริญและความมั่นคงของชาติ

               พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทยทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของชาติ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน ต่างทรงประกอบพระราชกรณียกิจใหญ่น้อยเพื่อสร้างความมั่นคงให้อาณาจักรทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข และสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่างๆ ให้เป็นมรดกตกทอดมาจนปัจจุบัน
                ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปราบดาพิเษกเป็นพระปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงสถาปนาพระบรมราชวงศ์จักรี เมื่อ พ..2325 หลังจากนั้นพระมหากษัตริย์รัชกาลต่อๆมาได้สืบสันตติวงศ์มาจนกระทั่งปัจจุบัน รวม 9 รัชกาล

รายพระนามพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่
พระนาม
วันเสวยราชย์
วันสิ้นสุดรัชกาล
1
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
6 เมษายน 2325
7 กันยายน 2352
2
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย

7 กันยายน 2352
21 กรกฎาคม 2367
3
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

21 กรกฎาคม  2367
2 เมษายน 2394
4
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

2 เมษายน 2394
11 พฤศจิกายน 2411
5
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

11 พฤศจิกายน 2411
23 ตุลาคม 2453
6
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
23 ตุลาคม 2453
26 พฤศจิกายน  2468
7
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

26 พฤศจิกายน 2468
มีนาคม 2477*
8
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

2 มีนาคม  2477
9 มิถุนายน 2489
9
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
9 มิถุนายน 2489
-

     *รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.. 2477 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2484


                

ปัจจัยที่มีผลต่อความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของไทยสมัยรัตนโกสินทร์

                หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแล้ว พระองค์ได้ทรงทำสงครามเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ราชอาณาจักร ทรงเร่งฟื้นฟูพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรืองดังเช่นทีเคยรุ่งเรืองมาในสมัยอยุธยา ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์มีความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองมาตลอดเป็นเวลายาวนานนับจากเริ่มสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ใน พ..2325 จนกระทั่งปัจจุบันเป็นเวลากว่า 200 ปี ปัจจัยที่ส่งเสริมให้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ได้อย่างมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มีหลายประการด้วยกันที่สำคัญ คือ 
                1.มีที่ตั้งในทางยุทธศาสตร์เหมาะสม ตำบลบางกอกซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงรัตนโกสินทร์มีลักษณะเป็นแหลม มีแม่น้ำเป็นกำแพงเกือบครึ่งเมือง ส่วนด้านตะวันออกของเมืองเป็นที่ราบลุ่มทะเลตม น้ำท่วมเป็นเวลานานในฤดูน้ำหลาก เป็นด่านป้องกันข้าศึกได้อย่างดีการก่อสร้างเมืองก็มีการสร้างกำแพงเมืองล้อมรอบอย่างแข็งแรง มีป้อมปราการโดยรอบ นอกกำแพงเมืองมีการขุดคูเมืองเป็นแนวป้องกันข้าศึก อีกทั้งมีบริเวณโดยรอบพระนครเป็นที่ราบ ซึ่งสามารถขยายเมืองออกไปได้เรื่อยๆ
                2.เป็นบริเวณมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเกษตร พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยามีดินและน้ำอุดมสมบูรณ์ สามารถทำการเพาะปลูกได้ผลดี ทำให้เกษตรกรรมเจริญก้าวหน้า
                3.เป็นศูนย์กลางการค้า   กรุงรัตนโกสินทร์มีที่ตั้งไม่ไกลจากปากแม่น้ำ มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านเมืองลงสู่ทะเลอ่าวไทย ทำให้การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมีความสะดวก รวมไปถึงทำเลที่ตั้งอยู่ในเส้นทางการค้าระหว่างจีนกับอินเดีย จึงเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าทำให้ได้รับวัฒนธรรมใหม่ๆ และนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับอาณาจักรได้
                4.พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงพระปรีชาสามรถด้านการทำสงครามมาตั้งแต่สมัยธนบุรี ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์เมื่อพม่ายกทัพหวังจะเข้ามาโจมตีเพื่อมิให้ไทยตั้งตัวได้ พระองค์และพระราชอนุชา คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ก็ทรงยกทัพออกไปป้องกันนอกพระนครมิให้กองทัพข้าศึกยกเข้ามาประชิดพระนครได้ ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์มีความมั่นคงเป็นราชธานีของไทยมาจนกระทั่งปัจจุบัน
                5.ประเทศเพื่อนบ้านมีปัญหาภายใน และถูกคุกคามจากชาติตะวันตก ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น บางช่วงประเทศเพื่อนบ้านของเรามีปัญหาภายในจึงไม่มีโอกาสยกทัพมารุกรานไทย ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ประเทศตะวันตกเริ่มเข้ามารุกรานประทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศเพื่อนบ้านต่างๆจึงต้องแก้ปัญหาของตนเอง เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้หลังจากปลายรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมาไทยก็มิต้องทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านอีกเลย ส่งผลให้กรุงรัตนโกสินทร์มีความเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด